นิทานอีสป

นิทานอีสป เรื่อง มดกับตัวดักแด้

ในคืนวันหนึ่งที่ในป่าลึก ได้เกิดลมมรสุมลูกใหญ่พัดกระหน่ำลงมาตลอดทั้งคืน...เรียกว่ามันเป็นคืน ที่สยองและโหดร้ายอย่างมากเลยทีเดียว...และกว่าลมมรสุมลูกนั้นจะพัดผ่านพ้นลงไปก็เช้าพอดี พระอาทิตย์แย้มหน้าออกมาส่องแสงให้ความสว่างไสวไปทั่วทั้งป่า มีมดตัวหนึ่ง ค่อย ๆแย้มหน้าของมัน โผล่หัวออกมาจากใต้ใบไม้แห้งที่วางปิดอยู่บนปากหลุมใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งที่เมื่อคืนมันได้ใช้ เป็นที่หลบลมพายุลูกร้ายลูกนั้นอยู่ทั้งคืน...


" โอ้ย...สุดแสนจะน่ากลัวและโหดร้ายมากเลยเมื่อคืนนี้ " เมื่อมันโผล่หัวออกมาได้ ก็บ่นงึมงำอย่างหัว เสียเป็นที่สุด แล้วขณะนั้นมันก็ได้เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งเข้า เจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างลำบาก ลำบนกลิ้งกระดืบออกมาจากใต้ใบไม้แห้งข้าง ๆตัวของมัน มันหละให้เป็นนึกขะหยะขะแหยงและความรู้ สึกไม่ค่อยจะดีในความน่าเกลียดของเจ้าสิ่งที่มันได้เห็นนั้น ทำไมถึงน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้นะ...มันคิด แล้วก็พร้อมกันนั้นมันก็พูดขึ้นกับเจ้าสิ่งนั้นว่า " นี่เอ็ง...เป็นตัวอะไรฟะ มือก็ไม่มีขาก็ไม่มี จะเคลื่อนไหว แต่ละทีก็ลำบากลำบนออกอย่างนั้น...ทำไมเจ้าถึงเป็นแมลงตะกูลที่น่าเกลียดที่สุดในโลกอย่างนี้เล่า... "


สิ่งที่มันนึกขะหยะขะแหยงนั้นคือตัวดักแด้ที่กำลังรอเวลาที่จะลอกคราบอยู่ในอีกไม่นานแต่เพราะลม มรสุมเมื่อคืน มันจึงโดนพัดให้ตกลงมาสู่พื้นดินด้านล่างอย่างโชคร้าย..." ขอโทษทีนะท่าน ที่ทำให้ท่านความรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นเราเข้า เราเป็นดักแด้ตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่ง มือก็ไม่มี ขาก็ไม่มี จึงเดินไม่ได้เหมือนอย่างท่าน " เจ้ามดเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ทำหน้าเบ้ แล้วพูดว่า " แมลงอย่างเจ้า เกิดมามีกรรม เสียชาติเกิดนะ เป็นแมลงจะต้องมีขาแล้วต้องเดินได้ปีนต้นไม้ได้ เหมือนอย่างข้านี่สิ ถึงจะเรียกว่าแมลง ไม่เสียชาติเกิด...ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายอย่างเหลือเกินถ้าจะให้ข้านับเจ้าว่าเป็นพวกพ้อง แมลงเผ่าพันธุ์เดียวกันกับข้า ฮึ...เสียความรู้สึกเป็นที่สุด " เจ้ามดพูดว่าและดูถูกตัวดักแด้ตัวนั้นให้เสียใจ อย่างมาก...แล้วมันก็เดินหนีจากไปทันที...


เมื่อเวลาได้ผ่านมาวันหนึ่ง หลังจากที่ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก พื้นดินทั่วทั้งป่าก็บรรดาลให้เกิดเป็นโคลน เป็นตมไปหมดทั่วทุกที่ ขณะที่เจ้ามดตัวเดิมกำลังเดินลุยโคลนอยู่ด้วยความลำบากลำบนเพราะกว่ามัน จะก้าวขาออกไปข้างหน้าได้แต่ละก้าวนั้น โคลนเหลว ๆที่เกาะอยู่ตามแข้งตามขาของมันคอยยึดขาของ มันไว้ติดเหนียวแน่นทำให้เดินลำบากน่ารำคาญอย่างยิ่ง มันจึงบ่นขึ้นด้วยความหัวเสีย " โอ้ย...โคลนเละ ๆ เหลว ๆทั้งนั้น เดินลำบากยากเย็นเสียจริง ๆ " มันบ่นไปเดินไปและคิดว่าแหมวันนี้มันช่างโชคร้าย เสียเหลือเกิน...แล้วขณะนั้นอยู่ ๆก็มีเสียง ๆหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านบนเหนือหัวของมันว่า " แมลงที่มีขา อย่างเดียวไม่มีปีกบินไปไหนมาไหนหนีภัยไม่ได้อย่างเจ้า ก็จำเป็นจะต้องได้รับกรรมจำต้องเดินด้วย ความลำบากลำบนในที่ ๆทีเป็นโคลนเป็นตมอย่างนั้น ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินนะเนี่ย...เกิดมาเป็น แมลงมีแต่ขาอย่างเดียวอย่างเจ้านี่ เสียชาติเกิดนะ เจ้ามดเอ๋ย..ช่างน่าอายเหลือเกินถ้าจะให้ข้านับเจ้า ว่าเป็นแมลงเผ่าพันธุ์พวกพ้องเดียวกันกับข้า...ช่างน่าอายเสียจริง ๆ"


เจ้ามดรีบเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงที่พูดดูถูกดูแคลนมันอยู่ทันที แล้วมันก็ได้เห็นผีเสื้อที่สวยงามมาก ตัวหนึ่งกำลังกะพือปีกที่กว้างใหญ่และสวยงามนั้นเหมือนอวดเยาะเย้ยอยู่ด้านบน มันจึงพูดว่า " อันนั้นมัน เรื่องของข้า ก็ข้าเกิดมาไม่มีปีกเหมือนเจ้านี่ก็จำเป็นที่จะต้องเดินลุยโคลนลุยตมอยู่อย่างนี้ แล้วทำไม เจ้าจึงมาว่าข้าอย่างเสียหายอย่างนี้เล่า " ผีเสื้อจึงตอบออกมาแบบเหยียดหยามว่า " เจ้ามดจอมปากเสีย ข้าคือตัวดักแด้ตัวที่แกเคยพูดดูถูกเหยียดหยามเอาไว้ครั้งหนึ่งให้ต้องได้ช้ำใจ...เจ้าพอจะนึกออกไหม?ล่ะ ตอนนี้ข้าได้ลอกคราบออกมาแล้วเป็นผีเสื้อมีปีกที่สวยงามและสามารถที่จะบินไปในที่ไหน ๆได้อย่างสะดวก สบายและอิสระ...น่าสงสารเจ้านะเกิดมาไม่มีปีก มีแต่ขาก็กรรมมากพออยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเดิน ได้อย่างอิสระเสียอีกอย่างที่ข้าได้เห็นนี่น่ะ " ว่าทิ้งท้ายเสร็จแล้ว ผีเสื้อก็กระพือปีกและบินจากไป...

 นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าเสมอและอย่างแน่นอนด้วย


นิทานอีสป เรื่อง สิงโตเบาปัญญา


ในเช้าของวันที่มีอากาศแจ่มใสของวันหนึ่ง มีสิงโตตัวหนึ่งเดินทอดน่องมายัง ลำธารน้ำเพื่อหาน้ำดื่ม และ ณ ที่ลำธารแห่งนั้น...มันได้พบกับสาวน้อยหน้าตา สวยงามมากนางหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของคนตัดฟืนเข้า สาวน้อยนางนั้นกำลัง นั่งซักผ้าอยู่ที่ชายน้ำอย่างเพลิดเพลิน เจ้าสิงโตทันทีที่มันได้เห็นสาวน้อยนางนั้น เข้ามันก็เกิดนึกรักนางขึ้นมาทันทีทันใดเลยทีเดียว " โอ๊ด..โต๊ด...โต๋...ทำไมสวยงาม น่ารักอย่างนี้นะ " มันรำพึงและคิดที่จะได้นางมาไว้เป็นภรรยาของมัน มันจึงจ้องมอง ดูนางอย่างไม่ยอมวางตาเลยทีเดียว...



เมื่อสาวน้อยนางนั้นเหลือบไปเห็นสิงโตซึ่งกำลังจ้องมองนางอยู่อย่างไม่วางตาอย่างนั้นเข้า นางจึงตกใจกลัว นางรีบวิ่งหนีกลับเข้าไปในบ้านทันที ส่วนเจ้าสิงโตนั้นความที่มัน นึกรักสาวน้อยนางนั้นขึ้นมาจริง ๆ มันจึงวิ่งตามเธอไปติด ๆ...สาวน้อยเมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว นางจึงรีบบอกกับพ่อของนางอย่างร้อนรนว่า " พ่อจ๋า มีสิงโตตัวหนึ่งวิ่งตามลูกมา มันมานั่งอยู่ ตรงหน้าบ้านเรานี่แล้วแหละพ่อ "



คนตัดฟืนผู้พ่อจึงออกไปเปิดประตูดู เจ้าสิงโตรีบพูดขึ้นโดยเร็วปรื๋อกับคนตัดฟืนว่า " ลูกสาว ของท่านช่างสวยงามเสียจริง ๆ ข้าเห็นแล้วก็นึกรักอยากที่จะได้เธอมาเป็นภรรยา " สิงโตบอก หญิงสาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก นางยืนแอบและร้องให้ออกมาด้วยความกลัว แต่คนตัดฟืนผู้พ่อทำเป็นใจกล้าและพูดกับสิงโตว่า " ถ้าอยากได้ลูกสาวข้าเราไปเป็นภรรยาแล้ว ละก็...ก่อนอื่นใดเจ้าต้องไปถอนเคี้ยวและตัดอุ้งเล็บที่แหลมคมออกจากอุ้งมือและอุ้งเท้าของเจ้าออกให้ หมดเสียก่อน เมื่อนั้นแหละลูกสาวของข้าจึงจะยอมไปเป็นภรรยาของเจ้า "



เจ้าสิงโตเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ถึงบางอ้อเลยทีเดียว " อ้อ นี่คงเป็นเพราะกลัวเขี้ยวและเล็บที่แหลมคม ของข้าน่ะน้า..จึงวิ่งหนี ฮ่า ๆๆๆ"มันจึงด้วยความดีใจรีบไปทำตามคำบอกของคนตัดฟืนทันที มันวิ่งไปขอให้หมอฟันช่วยถอนเคี้ยวออกจากปากของมันจนหมดทุกซี่ แล้วจึงไปหาช่างตีเหล็ก ขอให้ช่วยตัดอุ้งเล็บที่แหลมคมของมันออกทิ้งจนหมดสิ้น...จากนั้นมันก็กลับมาหาคนตัดฟืนเพื่อ ให้ดูว่ามันไม่มีเขี้ยวและกรงเล็บที่แหลมคมเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว...เมื่อคนตัดฟืนเห็นดังนั้นแล้ว จึงกล่าวกับสิงโตว่า " ตอนนี้เจ้าก็เป็นสิงโตที่ไม่น่ากลัวอะไรอีกต่อไปแล้วหละ " พูดจบเขาก็หันไปคว้าไม้ ท่อนใหญ่มาไล่ตีสิงโตที่ไร้เคี้ยวเล็บตัวนั้นจนสะบักสะบอม..งอม...ไปหมดทันที สิงโตทำอะไรและต่อสู้ป้อง กันตัวไม่ได้จึงวิ่งตะเลิดหนีไปจากตรงนั้นทันที....

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า        ผู้ที่ไม่รู้จักระวังตัว ไม่ประมาณตนเองย่อมได้รับผลอันเลวร้ายแก่ตน


นิทานอีสป เรื่อง นกกากับเหยือก







มีอยู่ในหน้าร้อนของวันหนึ่ง ด้วยปีนี้เป็นปีที่มีอากาศที่ร้อนมาก และความร้อนแบบสุด ๆนั้นได้ผ่าน ติด ๆต่อเนื่องกันมาหลายวันเลยทีเดียว พระอาทิตย์ได้ส่องแสงแผดเผาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นน้ำในห้วย หนอง คลอง บึง จึงแห้งผากจนไม่มีน้ำหลงเหลือติดอยู่เลยแม้สักน้อยนิด ฝูกกาซึ่งมีแม่กาและลูก ๆทั้งหมด 7 ตัวของมัน ได้พยายามบินหาน้ำดื่มด้วยความกระหายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง และด้วยความกระหายอย่างมาก พวกลูก ๆจึงร้องเร่งเร้าแม่กาเป็นการใหญ่ว่า " แม่จ๋า...หิวน้ำจังเลย ทำยังไงดี " แม่กาเมื่อเห็นลูก ๆ ร้อง กระหายน้ำอย่างนั้น...และมันก็นึกได้ถึงบางสิ่งที่เป็นแหล่งหาน้ำดื่มขึ้นมาได้ จึงได้ตอบกับลูก ๆไปว่า " หิวน้ำมากหรือลูก ถ้าอย่างนั้น ก็บินตามแม่มาทางนี้ก็แล้วกัน "


แม่กานั้นครั้งหนึ่งมันได้เคยเห็นพวกมนุษย์กำลังทำการตักน้ำกันที่บ่อน้ำบาดาลแห่งหนึ่งเข้า และมันก็นึกขึ้น ได้ถึงสถานที่ ๆ แห่งนั้น " แม่จะพาไปที่บ่อน้ำบาดาลที่แม่เคยได้เห็น แล้วลูก ๆ ก็จะได้กินน้ำแก้กระหายกันได้ อย่างแน่นอนเชื่อแม่สิ " พวกนกกาแม่ลูกฝูงนั้นพากันบินมาที่บ่อน้ำบาดาลที่อยู่ใกล้ ๆกับไร่แห่งหนึ่ง และเมื่อมันทั้งหมดบินมาถึงที่หมาย ก็พบว่าที่ใกล้ ๆกับตรงบ่อน้ำบาดาลนั้นได้มีเหยือกน้ำขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ตั้งอยู่ ที่ก้นของเหยือกน้ำใบนั้นได้มีน้ำขังอยู่ แต่พวกมันไม่สามารถที่จะเอาปากยื่นลงไปกินน้ำในเหยือกนั้นได้











" แม่จ๋า...ปากยื่นลงไปไม่ถึงก้นเหยือกหรอก จะทำยังไงดีล่ะแม่..." ลูกการ้องบอกแม่ของมัน แม่กาก็ได้แต่สั่น หัวด้วยจนปัญญาเป็นที่สุด แต่แล้วในขณะนั้น ได้มีลูกกาตัวสุดท้องตัวที่เล็กที่สุดในฝูงซึ่งจะเป็นด้วยความที่มัน กระหายน้ำเป็นอย่างมากจึงเกิดนึกโมโหขึ้นมา มันได้บินไปคาบเอาหินก้อนหนึ่งมาได้ แล้วโยนลงไปในเหยือก น้ำนั้นอย่างแรงเสียงตัง " จ๋อม... "ด้วยความโมโหที่อยากกินน้ำแล้วไม่ได้กิน อะไรทำนองนั้น แม่กาเมื่อเห็นดังนั้น จึงได้รีบบอกกับพวกลูก ๆ ว่า " ใช่แล้วสิ....ลูกก็เอาก้อนหินใส่ลงไปในเหยือกอย่างที่เจ้าตัวเล็กมันทำ เท่านั้นเอง แล้วน้ำก็จะเอ่อสูงขึ้นมาจนถึงปากคอเหยือกเลยทีเดียว ไป๊บินไปเอา ก้อนหินมาใส่ลงไปให้มาก ๆ จนกว่าแม่จะบอกให้พอ... เร็ว ๆ ลูก "






พอจบคำแม่เท่านั้นพวกลูก ๆ กาก็ช่วยกันบินไปคาบเอาก้อนหิน มาและใส่ลงไปในเหยือกกันเรื่อยๆจนกระทั่ง น้ำในเหยือกนั้นได้ล้นขึ้นมาจนถึงปากเหยือก " พอแล้วลูก คราวนี้ก็เชิญพวกเจ้าดื่มน้ำกันตามสบายได้แล้วลูก " แม่กาพูดบอกกับพวกลูก ๆ ของมัน จึงเป็นด้วยเหตุนี้ นกกาและลูก ๆจึงได้มีน้ำดื่มอยู่เป็นเวลานานเลยทีเดียว


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า        ถ้ามีความพยายามเพียงพอ ก็จะสามารถทำในสิ่งที่เห็นครั้งแรกว่ายากเหลือเกิน นั้นได้สำเร็


นิทานอีสป เรื่อง นกอินทรีเจ้าเล่ห์









กาลครั้งหนึ่ง.... 

นกอินทรีกับสุนัขจิ้งจอกได้อาศัยอยู่ที่ใกล้ ๆบริเวณป่าเดียวกัน มันเคยให้สัญญาว่า จะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน...นกอินทรี จะทำรังอาศัยอยู่บนยอดต้นไม้ ส่วนสุนัขจิ้งจอกนั้นก็ทำรังอาศัยอยู่ที่โคนต้นไม้ซึ่งเป็นโพรงเล็กๆต้นหนึ่ง วันหนึ่งนกอินทรี ออกบินหาเหยื่อเพื่อจะนำกลับไปให้กับลูก ๆของมันไปทั่ว ๆป่า แต่วันนี้หาเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่ได้เหยื่อ อะไรเลยสักอย่าง และก็พอดีตอนนั้นมันได้มองลงไปเห็นรังของสุนัขจิ้งจอกซึ่งสร้างเป็นโพรงไว้อยู่ที่ใต้โคนต้นไม้เข้า ลูก ๆ ของ สุนัขจิ้งจอกกำลังออกมาชะเง้อคอคอยแม่สุนัขจิ้งจอกที่ได้ออกไปหาเหยื่อมาให้กับลูก ๆ ของมันกินกันอยู่พอดีเหมือนกัน แม่นกอินทรีเมื่อมองลงไปและเห็นว่าที่หน้าโพลงของสุนัขจิ้งจอกนั้น ได้มีแต่ลูก ๆ ของสุนัขจิ้งจอกอย่างเดียวก็ดีใจ " แม่ของ พวกมันไม่อยู่ มีแต่ลูก ๆ ตั้งสามตัวแน่ะ.. เอาไปสักตัวคงจะไม่เป็นไรหรอกนะ.. " มันคิดอย่างเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดเลยหละ มันคิดว่าที่อยู่ของมันนั้นสูง สุนัขจิ้งจอกคงจะไม่มีปัญญาที่จะปีนป่ายขึ้นมาเอาลูกของมันคืนไปได้ และคงไม่มีทางที่จะทำ อะไรมันได้อย่างแน่นอนเสียด้วย


แล้วในขณะที่นกอินทรีกำลังบินถลาลงไปเพื่อจะเฉี่ยวเอาลูกสุนัขจิ้งจอกขึ้นมาอยู่นั้น ก็พอดีกับเป็นเวลาที่ แม่ของสุนัขจิ้งจอกได้คาบหนูตัวหนึ่งกลับมาที่โพลงของมันเข้าพอดี ลูก ๆ ของสุนัขจิ้งจอกเมื่อมองเห็นแม่เข้า ก็ร้องกัน ขึ้นด้วยความดีใจ " เย้..เย้..แม่กลับมาแล้ว " แต่..ในฉับพลัน ! ทันทีนั้นก็มีเสียงตีปีกดังขึ้น " พรืบ..พรืบ " แล้วต่อหน้าต่อ ตาของแม่สุนัขจิ้งจอกนั้นเลยทีเดียวที่เป็นจังหวะที่แม่นกอินทรีก็บินโผถลาร่อนลงมา มันกางเล็บที่แหลมคมของมันกาง เหยียดออก แล้วตะครุบเฉี่ยวเอาลูกของสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งได้ก็บินทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปในทันที












แม่สุนัขจิ้งจอกเมื่อเห็นดังนั้นมันตกใจมาก จนหนูที่มันคาบอยู่ในปากเพื่อจะเอามาให้ลูกกินกันนั้นล่วงตกลงมาจาก ปากเลยทีเดียว " อ๊ะ ! ..ลูกแม่ " มันมองจ้องจับสายตาไปที่แม่นกอินทรีอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาเลยทีเดียว แล้ว วิ่งตามไปติด ๆ อย่างไม่ลดละ แล้วเมื่อมันตามมาทันจนถึงต้นไม้ที่เป็นรังของแม่นกอินทรีแล้ว....


มันก็เฝ้าคร่ำครวญร้องขอลูกคืนต่อแม่นกอินทรีอย่างน่าเวทนาว่า " ได้โปรดเถิด คืนลูกให้กับฉันเถิด เธอก็มีลูกเหมือนกัน ไม่ใช่หรือ? นึกว่าเห็นแก่หัวอกแม่ด้วยกันด้วยเถิด " แต่แม่นกอินทรีนั้นมันกลับตอบกลับมาอย่างจองหองที่สุดว่า " ลูก ๆ ของฉันกำลังหิวกัน จะแย่อยู่แล้ว แต่..ถ้าเธออยากจะที่ได้ลูกของเธอคืนละก็..ก็ปีนขึ้นมาเอาไปสิ..ถ้าปีนขึ้นมาได้ละก็..ฉัน ก็จะให้คืน ว่ายังไงปีนขึ้นมาให้ได้สิ " แม่นกอินทรีพูดแบบวางก้ามและท้าทาย









เมื่อแม่สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้น มันก็รีบที่จะปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อเอาลูกคืนทันทีเหมือนกัน แต่ ! ไม่ว่ามันจะกางเล็บแล้ว เอาจิกลงไปในผิวไม้ เพื่อที่จะพยายามปีนขึ้นไปเท่าไหร่ ๆ มันก็ไม่สามารถที่จะปีนขึ้นไปบนต้นไม้นั้นได้ " นี่ ฉันจะทำยังไงดี ล่ะ ลูกของฉันจะต้องโดนกินเป็นอาหารของนกอินทรีเสียแล้วหรือนี่ " มันได้แต่ร้องให้คร่ำครวญปานน้ำตาจะเป็นสายเลือด และเมื่อมันหมดหนทางที่จะคิดปีนขึ้นไปบนต้นไม้ได้ มันจึงมองหาหนทางอื่นที่จะเอาลูกคืนให้ได้ไปรอบ ๆทั่วบริเวณนั้น.... แล้ว ! พลันมันก็ได้มองไปเห็นคบไฟที่มีคนจุดเอาไว้เข้า...


 








"อ๊ะ...นั่นไฟนี่ เมื่อร้องขอกันดี ๆ แล้วไม่คืนให้ ทีนี้ฉันก็ต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้วหละ " เมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็วิ่งไปคาบเอา คบไฟที่มันได้มองเห็นนั้นมา แล้วตะโกนบอกกับแม่นกอินทรีด้วยเสียงอันดังว่า " จงคืนลูกมาให้กับฉันเสียดี ๆ ถ้าไม่อย่าง นั้น ฉันจะเอาไฟนี่เผาต้นไม้ต้นนี้เสีย..เธอก็คงจะรู้นะว่าถ้าต้นไม้โดนเผาแล้วละก็ ทั้งเธอและลูกของเธอก็จะโดนย่างตาย กันจนหมด เร็ว ๆ รีบคืนลูกให้กับฉันเสียดี ๆ ฉันจะเผาแล้วนะ ! ได้ยินไหม? "


 






แม่นกอินทรีเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจ เพราะสำหรับมันน่ะแค่บินหนีไปเสียก็หมดเรื่อง แต่ลูก ๆ ของมันสิ เพิ่งจะแตก ออกมาจากใข่เมื่อไม่นาน และยังบินไม่ได้ มันจึงรีบตาเหลือกตาลานบอกกับแม่สุนัขจิ้งจอกว่า " ยอม..ยอม..ฉันยอม คืนลูกให้กับเธอแล้ว เดี๋ยวอย่าเพิ่งจุดไฟนะ ฉันยอมแล้ว " ดังนั้นด้วยการเป็นเช่นนี้มันจึงยอมคืนลูกให้กับแม่สุนัขจิ้งจอก ไป...ให้แต่โดยดี


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อันธพาลและพวกที่ชอบระรานผู้อื่นนั้น จะต้องมีวันถูกตอบแทนผลชั่วเข้าสักวันหนึ่ง.............


นิทานอีสป เรื่อง ม้ากับลาต่าง













ในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวมากของวันหนึ่ง พ่อค้าคนหนึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องนำของ ไปขายในที่ต่างเมือง เขาคิดจะถนอมม้าเอาไว้ใช้เมื่อถึงแต่คราวที่มีความจำเป็น เท่านั้น จึงเอาสินค้าทั้งหมดใส่ไว้บนหลังลา ส่วนม้านั้นเขากลับปล่อยให้เดินตัว เปล่าไม่ได้บรรทุกของอะไร ลาเมื่อถูกบรรทุกของหนัก ๆ และตอนนั้นก็กำลังเจ็บอยู่ด้วย มันจึงพูดอย่างน่าสงสารกับม้าว่า " ท่านม้า ๆ ข้ามีอะไรจะขอร้องให้ท่านช่วยสักอย่าง หนึ่งได้ไหม ? "


   ม้าเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หันมามองแล้วทำท่าฟังอย่างไม่ค่อยที่จะเต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่ลาก็พูดต่อไปว่า" ข้าไม่สบาย และกำลังเจ็บอยู่ ช่วยแบ่งของไปจากหลังข้าบ้างเถิด ข้าไปไม่ไหวแล้ว ถ้าท่านช่วยแบ่งเบา ภาระอันหนักอึ้งนี้ไปได้บ้าง บางทีข้าอาจจะกลับมีแรงขึ้นมาบ้างก็อาจเป็นได้ ถ้าท่านไม่ช่วย ข้าคงจะต้องตายเป็นแน่ แท้" แต่ม้ากลับตอบกลับมาอย่างโมโหว่า "ช่างเป็นเรื่องที่บ้าบอคอแตก อะไรเช่นนี้ เจ้าพูดมาได้อย่างไร เจ้าไม่รู้หรือไงว่าขาที่สำคัญของข้านี่น่ะมีเอาไว้สำหรับวิ่งให้ เร็วแต่เพียงอย่างเดียว แล้วถ้าข้าเกิดมาช่วยเจ้าแบกของหนัก ๆ อย่างนั้น แล้วเกิดขาที่สำคัญของ ข้ามีอันต้องซ้นหรือฝกช้ำดำเขียวขึ้นมาแล้วล่ะก็ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบให้ล่ะ เจ้านี่คิดบ้า ๆ เสียจริง ๆ ทนไปอีกหน่อยเถิดเดี๋ยวอะไร ๆ มันก็ดีขึ้นมาเองแหละ อย่าบ่นไปนักเลย"


  














ลาจึงไม่พูดอะไรต่อไปอีก อุตส่าห์เดินต่อไปในไม่ช้ามันก็หมดแรงล้มลงและขาดใจตายไป ตรงนั้น เจ้าของเมื่อเห็นดังนั้นก็แก้เอาสินค้าที่อยู่บนหลังลาทั้งหมดเอามาใส่ไว้บนหลังม้า เท่านั้นยังไม่พอยังแถมเอาศพของลาบรรทุกเพิ่มเข้าไปให้อีกด้วย ม้าจึงจำต้องเดินไปบ่นไปว่า " พุทโธ่ เอ๋ย เรานี่ชั่วเสียจริง ๆ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าตอนนั้นจะช่วยเจ้าลามันสักครึ่ง หนึ่ง บางทีมันอาจจะไม่ต้องมาตายไปเสียอย่างนี้ เฮ้อ...แล้วเป็นไงล่ะ เดี๋ยวนี้ตอนนี้ ต้องมาบรรทุกของหนักอย่างเดียวยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังมีศพของเจ้าลามันเพิ่มเข้าไป ให้อีก ซวยบรมไปเลยเห็นไหมล่ะ"


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 

      ไม่ทุกข์บ้างเป็นไม่รู้ว่าอย่างนั้น...คนที่ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือความทุกข์ของผู้อื่น ทุกข์นั้น ก็อาจจะมาตกกับตัวเองบ้างดังนี้แล


นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับผลองุ่น

  








ครั้งหนึ่งที่ในป่าได้มีสุนัขจิ้งจอกที่มีนิสัยขี้เล่นมากอยู่ตัวหนึ่ง มันมักจะชอบคอยสร้างเรื่องต่าง ๆ มาก่อกวน กลั่นแกล้งล้อเลียนสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่ตัวเล็ก ๆ กว่าให้ตกใจเล่นอย่างสนุกสนานอยู่ได้ทุกวี่ทุกวันไม่รู้จักเบื่อรู้จัก หน่ายเลยทีเดียว และวันนี้ก็เช่นกัน....มันได้เข้าไปนั่งแอบเงียบอยู่ที่ในพุ่มไม้ แล้ว..." ฮึ ฮึ ๆๆ..เอาต้นหญ้า พวกนี้สุมลงไปบนหัวเข้าอย่างนี้ แฮ๊ะ ๆๆ เดี๋ยว ไอ้ตัวเล็ก ๆ ตัวไหนหลงเดินผ่านมาทางนี้ละก็..ก้าววว์ เหวอ.. ผีหลอก บ่าววว์ ฮ่า ๆๆๆ " ทั้งกระต่ายและกระรอกโดยเฉพาะพวกหนูและพวกนกอย่างนี้ วิ่งและบินหนีกัน ด้วยความตกใจกันจนป่าราบให้โกละหนไปหมดเลยทีเดียวเชียว...


 







" โอ้ย..ขำ ขำ สนุกที่สุดเลย โอ้ยข้าล่ะขำจนปวดท้องไปหมด ฮ่ะ ๆๆๆ " มันหัวเราะจนนอนกลิ้งไปกลิ้งมา จนเหนื่อยเลยทีเดียว...และเมื่อมันรู้สึกเหนื่อย ทีนี้ท้องก็เริ่มร้องขึ้นมาด้วยความหิว " แถว ๆ นี้พอจะมี อะไรที่กินได้อยู่บ้างไหมน้า.." มันพูดแล้วก็ส่ายสอดส่องสายตาเพื่อมองหาของที่พอจะกินได้ไปรอบ ๆ แล้วพลันสายตาของมันก็มองไปเห็นพวงองุ่นผลงามๆ บนต้นเข้า " แหม..องุ่นพวกนั้นดูน่ากินดีแฮะ" มันว่า " ข้าอยากกินมันเสียแล้วหละ แต่มันอยู่สูงเกินไป..ดูสิ ต้องพยายามกระโดดขึ้นไปเก็บกินให้จงได้ "


 








มันจึงกระโดดแล้วกระโดดอีก หลายต่อหลายครั้ง กระโดดจนหืดเกือบจะขึ้นคออยู่รอมร่อ แต่มันก็ไม่สามารถ ที่จะกระโดดงับถึงผลองุ่นได้ มันจึงด้วยความโมโหที่อยากกินแล้วไม่ได้กินสมใจจึงคิดผละจากผลองุ่นออกมา แล้วหมายจะเดินหนี แต่พวกสัตว์ป่าต่าง ๆที่ต่างได้เคยโดนมันเกล้งเอาไว้นั้นได้ออกมารวมกลุ่มกัน จ้องมอง เจ้าสุนัขจิ้งจองที่กำลังใช้ความพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะงับกินผลองุ่นบนต้นนั้นให้ได้อย่างสนุกสนาน เลยทีเดียว " เป็นยังไงอ้ายตัวก่อกวน ฮ่า ๆๆๆ คิดแกล้งแต่คนอื่นได้แฮ๊ะ... แต่คิดหาหนทางกินผลองุ่นอร่อย ๆ บนต้นไม่ได้น่ะสิ ช่างน่าอายเสียจริง ๆ เน๊อะ...พวกเราว่าไหม ? ฮ่า ๆๆๆ "


เมื่อได้ยินดังนั้นมันจึงพูดแก้ตัวแบบพลาน ๆ ตามแบบฉบับของมันออกมาว่า " ก็ข้าเพิ่งจะเห็นเดี๋ยวนี้เองว่า ผล องุ่นพวกนั้น
มันมีที่ยังเขียว ๆ อยู่รวมอยู่ด้วย มันยังดิบอยู่..ว๊อย และคงไม่หวานแน่ แล้วที่สำคัญข้าก็ไม่ชอบองุ่น ดิบๆ เสียด้วยเพราะมันเปรี้ยวมากรู้ไหมฟะ.. เออ..ข้าไม่อยากจะกินมันเองเฉย ๆ เองแหละไม่ใช่กินไม่ได้..พวก เอ็งจะทำไม ?" มันพูดพลานตอบไปเรื่อยเปื่อย...แต่มันนั้นรู้ดีแก่ใจว่า แท้จริงแล้วผลองุ่นนั้นสุกอร่อยมาก ที่มันออกปากว่า ผลองุ่นนั้นเปรี้ยวและยังดิบอยู่นั้น ก็เพราะว่ามันกระโดดกินไม่ได้และไม่ถึงต่างหาก


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

      ช่างน่าเขลาที่ออกปากว่าไม่อยากได้อะไรสักอย่างอย่างนั้น ที่แท้เพราะว่าไม่อาจที่ จะได้มันหรือได้สิ่งนั้นเสียมากกว่าต่างหาก...

นิทานอีสป เรื่อง สิงโตโลภมากกับกระต่ายป่า

 



ที่อัฟฟริกากลางป่าใหญ่ สิงโตหิวโซตัวหนึ่งได้เดินหาเหยื่อของมันไปเรื่อย ๆ ด้วยความหิวโหย แล้วขณะนั้น มันก็ได้ไปพบกับกระต่ายป่าตัวหนึ่งเข้า " โห่..ช่างน่ากินเหลือเกินเจ้ากระต่ายเอ๋ย " มันตั้งท่าแล้ววิ่งตามกวดกระต่ายป่า ตัวนั้นจนทัน และเมื่อกระต่ายป่าต้องจนมุม สิงโตหิวโซตัวนั้นก็จ้องจะจับกินกระต่ายตัวนั้นทันที


แต่ ! ขณะเดียวกันนั้น ก็ได้มีกวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านมาข้างๆ " อ๊ะ...นั่นมันกวางนี่ เจ้ากวางตัวนั้นจะเป็นอาหารมื้อใหญ่ของ ฉันทีเดียว " สิงโตรำพึง ดังนั้น มันจึงปล่อยให้กระต่ายหลุดรอดไป แล้วมันเองก็วิ่งกวดตามกวางไปทันที แต่กวางตัวนั้นวิ่ง ได้เร็วมาก เร็วเสียจนในไม่ช้า มันก็ลับหายไป เมื่อสิงโตเห็นหมดหวังจะตามกวางได้ทัน มันก็ว่า "ฉันจะกลับไปกินกระต่าย ดีกว่า"


  




แต่เมื่อมันกลับมาที่ ๆ ซึ่งเมื่อตะกี้ที่มันได้ต้อนกระต่ายจนจนมุมนั้น มันได้พบว่า กระต่ายได้หนีหายไปเสียแล้ว "โธ่เอ๋ย ฉันน่า จะกินกระต่ายเสียก่อนตั้งแต่ตอนที่พบเมื่อแรกแล้ว" สิงโตคร่ำครวญ "นี่เป็นเพราะฉันโลภมากเกินไป ผลสุดท้ายก็เลยไม่ได้ กินอะไรเลย"


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนที่ฉลาดในบางครั้งจะต้องรู้จักพอ ในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว.............


นิทานอีสป เรื่อง นกมีหูหนูมีปีก


นานมาแล้วสมัยหนึ่ง พวกสัตว์สีเท้ากับพวกนกสัตว์ปีกนั้นเกิดการทะเลอะเบาะแว้งแบ่ง พวกแบ่งพ้องกันขึ้น สัตว์ทั้งสองชนิดได้เถียงกันขึ้นมาครั้งหนึ่งว่า " สัตว์สีเท้ากับพวก นกที่มีปีกใครเก่งกาจกว่ากัน " หัวหน้าฝูงของสัตว์สี่เท้ารีบตอบขึ้นอย่างไม่ต้องคิดว่า " พวกเราสิ ท่าน แน่นอนต้องเหนือกว่า " หัวหน้าพวกสัตว์ปีกเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงด้วยความโมโห " ถ้าอย่างนั้น ก็ต้อง ต่อสู้กันดูสักตั้งก่อนสิ ถึงจะรู้ จะมาพูดง่าย ๆว่าเหนือกว่าได้ยังไงเล่า? " แย่แล้วหละ...สงครามระหว่าง สัตว์ทั้งสองชนิดจึงเกิดขึ้นมาในทันที....ค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมอยูในตัวหลายอย่างหลายพันธุ์ และเจ้าเล่ห์แสนกลจึงจำเป็นต้องคิดหนักและตกลงใจไม่ได้ว่าจะเข้าเป็นพวกใดดี...แต่ด้วยความฉลาด ของมัน มันจึงเฝ้ามองดูเหตุการณ์อยู่***ง ๆและรอจังหวะ



เมื่อสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกสู้รบกันมาได้สักพักผลก็ปรากฏดูเหมือนว่า สัตว์สี่เท้าดูท่าทางว่าจะชนะ เสียแล้วจริง ๆงานนี้ เจ้าค้างคาวเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รีบเข้าไปหาหัวหน้าของสัตว์สี่เท้าทันที และเมื่อหัวหน้าของสัตว์สี่เท้าเห็นค้างคาวเข้า " เจ้ากล้าดียังไง อ้ายพวกนกมีปีกถึงได้มาให้ข้า เห็นตัวได้อย่างนี้หือ " มันตวาด " ไม่รู้หรือว่าข้าน่ะเกลียดพวกนกสัตว์ปีกเป็นที่สุด เจ้าเป็นพวกนกนี่หว่า ใช่ไหม? สารภาพความจริงออกมานะ " เจ้าค้างคาวจึงตอบว่า " ขอโทษทีเพื่อน ไม่ดูตาม้าตาเรือ ให้ดีเอาเสียเลยนะ ข้าเป็นหนูใช่นกที่ไหนกันล่ะ นกมีหูอย่างข้าหรือไง...ขอให้พวกนกจงพินาจ...ขอให้ พวกสัตว์สีเท้าอย่างพวกหนูจงเจริญ " ข้าเต็มใจและขอร่วมกับพวกท่านต่อสู้กับพวกนกด้วยแล้วกัน " มันพูดเอาตัวรอดไปได้อย่างฉลาดทีเดียว



แต่การต่อสู้กลับเกิดการพลิกล๊อกขึ้นมาอย่างกระทันหัน ด้วยพวกสัตว์ปีกเกิดฮึดสู้ตายขึ้นมา และมีผลว่าจะเป็นฝ่ายชนะเอาเสียด้วย...เจ้าค้างค้าวที่มีนิสัยชอบกลับกลอกเป็นทุนเดิมตามนิสัย อยู่แล้วเมื่อมันเห็นดังนั้น จึงกลับใจรีบไปเข้าฝ่ายสัตว์ปีกเฉยเลย...มันย่องเข้าไปหาหัวหน้าสัตว์ปีก ทันที "เจ้ามาหาข้าที่นี่ทำไมฝะ เจ้าเป็นหนูพวกสัตว์สีเท้าไม่ใช่หรือ? " เจ้าค้างคาวรีบโวยวาย เป็นการใหญ่ " โธ่ ๆๆนี่พวกท่านละเห็นนี่ไหม? ข้าไม่ใช่หนูสัตว์สี่เท้าหรอก ข้าน่ะเป็นสัตว์ปีก เห็นไหม นี่ไงปีกของข้า...ข้าจะมาช่วยพวกท่านต่อสู้กับพวกสัตว์สี่เท้าไง...ขอให้พวกหนูสัตว์สี่เท้าจงพินาจ ขอให้พวกนกสัตว์ปีกจงเจริญ " ดูสิเจ้าค้างคาวมันพูดเอาตัวรอดไปได้อย่างน้ำขุ่น ๆเลยหละ


การสู้รบเกิดขึ้นต่อมาอีกหลายวัน...จนในที่สุด พวกสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกก็เกิดเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาด้วยกัน ทั้งสองฝ่าย...ด้วยไม่มีฝ่ายใดที่จะยอมแพ้กันสักที พวกสัตว์ต่าง ๆต้องล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายจึงคิดและหันหน้ากลับมาตกลงใจปองดองกันอย่างเก่าอีกครั้ง... แต่งานนี้ผู้ที่ต้องได้รับเคราะห์กรรมอย่างหนักก็คือเจ้าค้างคาวผู้คิดกบฏคิดกลับกลอกยอกย้อนตัวนั้น แต่เพียงตัวเดียว เพราะทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกต่างร่วมหัวกันขับไล่เจ้าค้างคาวออกไปจากพวกพ้องเสีย ไม่มีตัวใดยอมรับให้เป็นพวกด้วยเลยสักตัว



เจ้าค้างคาวเลยจำต้องหนีภัยเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าลึกที่มืดมิดตามถ้ำที่มืด ๆกลางวันจะหลบนอนอยู่ แต่ในถ้ำอย่างเดียว และเมื่อสัตว์ป่าต่าง ๆทุกตัวหลับกันหมดแล้ว...ถึงจะได้ออกไปหาอาหาร... มาจนถึงทุกวันนี้...

นิทานเรื่องนี้นำมาเปรียบเทียบกับมนุษย์บางประเภทได้
       เพราะมนุษย์ก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่งเหมือนกัน มนุษย์เผ่าพันธุ์ที่คล้าย ๆกับเจ้าค้างคาวในเรื่องนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน คือพวกที่ชอบเปลี่ยนข้าง กลับกลอกเก่ง เมื่อถึงคราวคับขัน พวกเขาสามารถที่จะประณามสิ่งที่พวกเขาเคยยกย่องได้ในทันทีทันใด สำหรับคนพวกนี้แล้ว คนที่ฉลาดคือคนที่สามารถประกาศได้ทั้ง " พระเจ้าจงพินาจ " และ " พระเจ้าจงเจริญ " ได้อย่างเต็มถ้อยเต็มคำเสียด้วยสิว่าอย่างนั้นเลยหละ?...


นิทานอีสป เรื่อง หมีกับคนเดินทาง


อ้วนผอมเพื่อนคู่ซี้นักเดินทาง กำลังเดินคู่กันมาด้วยความสามัคคีไปตามทางในป่าและพูดคุยกันไปอย่าง สนุกสนาน..แล้วอยู่ ๆในทันทีนั้นก็มีหมีป่าตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ตรงด้านหลังของทั้ง สองโดยไม่ทันรู้ตัว...เจ้าหมีป่าตัวใหญ่หมายจะทำร้ายนักเดินทางทั้งสองอย่างจงใจนั่นเอง..." โฮก..ก้าวว์ " มันร้องคำรามแล้วก้าวย่างสามขุมเข้ามา.." จ๊าก..หมี ๆๆ ช่วยด้วย " อ้วนผอมนักเดินทางทั้งสองพอเห็น และรู้ตัวเข้าเท่านั้นก็ร้องลั่นและต่างก็พากันวิ่งหนีโกยอ้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตเลยทีเดียว... ผอมนักเดินทางนั้นตัวเบาเมื่อวิ่งไปและเหลือบไปเห็นต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งเข้าที่ข้างทางก็ปีนหนีขึ้นไปบน ต้นไม้ต้นนั้นด้วยความเร็ว...ส่วนอ้วนนักเดินทางเพื่อนคู่ซี้นั้นตัวอ้วนและหนักเลยไม่สามารถที่จะปีน ขึ้นไปได้..



อ้วนนั้นด้วยความกลัวอย่างสุด ๆเหมือนกันจึงตะโกนบอกอ้อนวอนผอมเพี่อนคู่ซี้ให้ช่วยด้วยว่า " ว้า..เรา ปีนขึ้นไปไม่ได้..ช่วยดึงมือเราหน่อยสิ ช่วยให้เราหนีขึ้นไปบนนั้นด้วยคนสิเพื่อน..ช่วยดึงมือเราหน่อย " ผอมเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตอบปฏิเสธให้เป็นพันละวันว่า " ไม่ได้..ไม่เอา ตัวอ้วน ๆหนัก ๆอย่างเจ้า..ถ้าข้าขืน ช่วยดึงให้เดี๋ยวข้าก็พลัดตกลงไปอยู่ข้างล่างด้วยน่ะสิ...ข้ากลัวโดนหมีทำร้ายและกินเข้าไปน่ะสิวะ ..ไม่เอา ด้วยหรอก..ข้ายังไม่อยากตาย " อ้วนให้เป็นเสียใจกับความเห็นแก่ตัวคิดเอาตัวรอดแต่คนเดียวของผอม เพื่อนคู่ซี้คนนี้มากแต่เจ้าหมีป่านั้นมันกำลังตามเข้ามาจนเกือบจะถึงตัวอยู่รอมร่อนี่แล้ว อ้วนจึงด้วยความ กลัวและไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเลยอยู่ ๆก็ล้มตัวลงนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้นและทำเป็นสลบนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรที่ดีกว่านี้อีกแล้วนั่นเอง...



อ้วนนั้นเคยได้ยินคนแก่ ๆผู้มีประสบการณ์เคยบอกว่า " เมื่อเจอหมีและจนตัวหนีไม่ทันละก็ ให้แกล้งลงนอน ทำเป็นตายนะเพราะหมีมันมีสัญชาติญาณอยู่ว่ามันจะไม่กินของที่ไม่มีชิวิตน่ะจำคำนี้เอาไว้ก็แล้วกันถ้ารักจะ เดินทางน่ะ เชื่อเถอะ.. "อ้วนนอนนึกถึงคำสอนอันนี้ขึ้นมาได้เลยนอนนิ่ง ๆแกล้งทำเป็นตายไม่กระดุกกระดิก เลยทีเดียว เจ้าหมีป่าเมื่อตามมาทันและเห็นว่าเยื่อของมันนั้นสงสัยจะตายไปแล้วก็เข้ามาดมไปตามหน้าตาม หูของเหยื่อเพื่อให้แน่ใจว่าตายแน่หรือยัง มันดมสำรวจอยู่สักพักจนมันแน่ใจว่าคงตายไปแล้วเพราะไม่เห็น กระดุกกระดิกตรงไหนเลยมันเลยถอยและเดินจากตรงนั้นไปอย่างหมดหวัง...ผอมที่อยู่บนต้นไม้เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นและหมีก็จากไปแล้วจึงค่อย ๆลงมาจากต้นไม้และรีบเข้าไปเขย่าอ้วนให้ลุกขึ้นและพูดว่า " เฮ้อ..รอดไปที เจ้าหมีมันหนีไปแล้วหละ ทำไมมันถึงหนีไปก็ไม่รู้..นี่อ้วนนายคิดว่ายังไงหือ? ว่าทำไมมัน ถึงหนีไปน่ะ "



"แล้วเมื่อกี่นี้..เราเห็นหมีมันทำท่าทางเหมือนเข้าไปกระซิบอะไรที่ข้างหูนายหรือ?..มันกระซิบบอกอะไรนาย ล่ะ ?" อ้วนจึงลุกขึ้นมาแล้วพูดกับผอมว่า " เออ..หมีมันกระซิบบอกกับเราว่า..เพื่อนที่ถึงเวลาที่กำลังเดือด ร้อนและมีอันตรายนั้นตัวเองหนีรอดได้คนเดียวก็เป็นใช้ได้นั้นน่ะ..ไม่ใช่เพื่อนจะเอามาเป็นเพื่อนผู้ร่วมเดิน ทางด้วยนั้นไม่ได้หรอก..แล้วมันยังบอกอีกด้วยว่าเพื่อนผู้ร่วมเดินทางผู้ที่เวลาที่กำลังเดือดร้อนและได้อัน ตรายแล้วช่วยกันหาทางให้พ้นอันตรายด้วยกันนั้นคือเพื่อนแท้ด้วยหละ นายว่าจริงอย่างที่มันกระซิบ บอกหรือปล่าวล่ะ แต่เราน่ะเชื่อมันแหละ..ว่าจริงอย่างที่มันกระซิบบอกจริง ๆ " พูดจบแล้วอ้วนก็ออก เดินจากตรงนั้นและจากผอมไปในทันทีปล่อยให้ผอมยืนงงอยู่อย่างนั้นโดยไม่ทันได้คิดหาคำตอบแก้ตัว ได้แต่อย่างใด...


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
       คนที่เห็นแก่ตัวชอบเอาตัวรอดแต่ผู้เดียวนั้นไม่ใช่เพื่อนแท้อย่างแน่นอน


entertain.tidtam.com/data/12/0062-1.html